Pages

6.1  ระบบหายใจกับการรักษาดุลยภาพของร่างกาย
            
นักเรียนได้ทราบมาแล้วว่าสิ่งมีชีวิตทุกชนิดต้องการพลังงานสำหรับนำไปใช้ในกิจกรรมต่างๆ  พลังงานเหล่านี้ได้มาจากการสลายโมเลกุลของสารอาหาร  โดยประมาณร้อยละ  90  ของพลังงานที่ได้นั้นมาจากการสลายโมเลกุลของสารอาหารแบบใช้ออกซิเจน  ซึ่งจะได้น้ำและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาด้วย  ดังนั้นสิ่งมีชีวิตจึงจำเป็นต้องมีกระบวนการหายใจเพื่อ นำแก๊สออกซิเจนไปใช้ในกระบวนการเมแทบอลิซึมและปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาสิ่งมีชีวิตที่มีโครงสร้างของร่างกายรวมทั้งสภาพแวดล้อมที่อยู่อาศัยแตกต่างกันจะมีโครงสร้างในการแลกเปลี่ยนแก๊สเหมือนหรือแตกต่างกันหรือไม่ นักเรียนจะได้ศึกษาในหัวข้อต่อไปนี้
         6.1.1โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวและของสัตว์
            สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว  เช่น  อะมีบา  พารามีเซียม  เซลล์จะสัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่เป็นน้ำอยู่ตลอดเวลาจึงมีการแลกเปลี่ยนแก๊สกับสิ่งแวดล้อมโดยตรงโดยผ่านเยื่อหุ้มเซลล์  ดังภาพที่ 6-1  สัตว์หลายเซลล์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในน้ำ  และยังไม่มีระบบหมุนเวียนเลือด  เช่น  ฟองน้ำ  ไฮดรา  และหนอนตัวแบน  เซลล์แต่ละเซลล์จะแลกเปลี่ยนแก๊สผ่านเยื่อหุ้มเซลล์โดยตรงเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียว
ภาพที่ 6-1  การแลกเปลี่ยนแก๊สของพารามีเซียม

ภาพที่6-2  การแลกเปลี่ยนแก๊สของไฮดรา และพลานาเรีย  
              สัตว์หลายเซลล์ขนาดเล็กที่มีการพัฒนาระบบเนื้อเยื่อที่ซับซ้อนขึ้น  เช่น  ไส้เดือนดินเริ่มมีระบบหมุนเวียนเลือดช่วยในการแลกเปลี่ยนแก๊ส  ดังภาพที่6-3
ภาพที่ 6-3 การแลกเปลี่ยนแก๊สของไส้เดือนดิน  
              ไส้เดือนดิน เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกมีลำตัวกลม  มีขนาดร่างกายใหญ่กว่าพลานาเรียมาก  ยังไม่มีโครงสร้างที่ทำหน้าที่เฉพาะในการแลกเปลี่ยนแก๊ส  แต่จะมีการแลกเปลี่ยนแก๊สโดยเซลล์ที่อยู่บริเวณผิวหนังของลำตัวที่เปียกชื้น  แก๊สที่แพร่ผ่านผิวหนังเข้ามา  จะถูกลำเลียงโดยระบบหมุนเวียนเลือดไปสู่เซลล์ต่างๆ  ทั่วร่างกายขณะเดียวกันแก๊สที่เซลล์ขจัดออกมาก็จะถูกลำเลียงโดยระบบหมุนเวียนเลือดและปล่อยออกนอกร่างกายทางผิวหนัง
              สัตว์ที่มีร่างกายขนาดใหญ่และซับซ้อนมากขึ้นเซลล์ที่อยู่ภายในร่างกายไม่มีโอกาสได้สัมผัสกับสิ่งแวดล้อมที่มีแก๊สออกซิเจนโดยตรง  โดยเฉพาะสัตว์ที่มีสิ่งปกคลุมร่างกาย  เช่น  ขน  เกล็ด  ซึ่งแก๊สออกซิเจนผ่านเข้าไปไม่ได้  สัตว์เหล่านี้จำเป็นต้องมีอวัยวะพิเศษ  เพื่อแลกเปลี่ยนแก๊ส  เช่น  เหงือกของปลา  ปอดของคน  และท่อลมของแมลง  เป็นต้น  
              โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สไม่ว่าจะเป็นผิวหนัง  ปอด  ท่อลม  และเหงือก  จะมีลักษณะสำคัญ  คือ  มีลักษณะบาง  พื้นที่ผิวต้องมากพอที่จะแลกเปลี่ยนแก๊สได้อย่างมีประสิทธิภาพ  มีการลำเลียงแก๊สไปยังเซลล์ที่อยู่บริเวณอื่นๆ  ได้อย่างรวดเร็ว  มีการป้องกันอันตรายให้กับโครงสร้างที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊ส  และต้องมีความชื้นอยู่ตลอดเวลา  เนื่องจากเยื่อหุ้มเซลล์ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะคงสภาพอยู่ได้ต้องมีน้ำ  ดังนั้นแก๊สออกซิเจนที่จะผ่านเข้าสู่เซลล์จึงต้องละลายน้ำเสียก่อนจึงจะเข้าสู่เซลล์ได้
ภาพที่ 6-4  โครงสร้างที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊สของแมลง
                   แมลง  เป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่บนบกเป็นส่วนใหญ่  ร่างกายไม่ได้สัมผัสกับน้ำโดยตรงจึงมีวิวัฒนาการอวัยวะแลกเปลี่ยนแก๊สให้อยู่ภายในร่างกายเพื่อให้เซลล์ชุ่มชื้นอยู่เสมอ  และเพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำ  โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของแมลงประกอบด้วย  ท่อลม  (trachea) ซึ่งแตกแขนงเป็น  ท่อลมฝอย (tracheole)  ขนาดเล็ก  ที่มีผนังบางมากแทรกไปตามส่วนต่างๆ  ของร่างกายและไปสิ้นสุดที่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆ  ดังภาพที่6-4    อากาศจะผ่านช่องหายใจ  (spiracle)  ซึ่งเป็นรูเล็กๆ  อยู่ด้านข้างลำตัว  ส่วนท้องเข้าสู่ท่อลม  ท่อลมมีขนาดเล็กและมีผนังบางมาก  การแลกเปลี่ยนแก๊สจะเกิดขึ้นระหว่าง  ปลายท่อลมฝอยขนาดเล็กกับเซลล์โดยตรง  นอกจากนี้แมลงที่บินได้บางชนิดยังมี ถุงลม  (air  sac)  ซึ่งติดต่อกับช่องหายใจอยู่ภายในส่วนท้องเป็นจำนวนมาก  เพื่อสำรองอากาศไว้ขณะบิน

ภาพที่ 6-5  โครงสร้างที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊สของแมงมุม
               จากภาพที่6-5  นักเรียนจะเห็นว่าแมงมุมไม่มีท่อลมแทรกไปตามเนื้อเยื่อต่างๆ  แต่มีท่อลมซ้อนเป็นชั้นพับไปมามีลักษณะคล้ายแผงและมีหลอดเลือกนำคาร์บอนไดออกไซด์มาแลกเปลี่ยนที่แผงท่อลมนี้แล้วรับออกซิเจน  จึงเรียกโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของแมงมุมว่า ปอดแผง  (book  lung)
              สัตว์น้ำจะได้เปรียบสัตว์บกตรงที่บริเวณแลกเปลี่ยนแก๊สมีความชุ่มชื้นอยู่เสมอเนื่องจากสัมผัสกับน้ำโดยตรง  แต่มีข้อเสียเปรียบคือ  ในน้ำมีปริมาณแก๊สออกซิเจนละลายอยู่น้อยมากคือประมาณร้อยละ 0.5  เมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณแก๊สออกซิเจนในอากาศ  ซึ่งมีถึงร้อยละ 21  และแก๊สออกซิเจนยังแพร่ในน้ำได้ช้ากว่าในอากาศประมาณ 1,000  เท่า  ถ้าอุณหภูมิของน้ำสูงขึ้นก็ยิ่งจะมีแก๊สออกซิเจนละลายในน้ำได้น้อยลง  แต่สัตว์น้ำก็สามารถรับแก๊สออกซิเจนได้เพียงพอต่อความต้องการ  เนื่องจากมีการจัดเรียงเนื้อเยื่อของอวัยวะที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊ส  เช่น  เหงือกของปลาและกุ้งจะมีลักษณะเป็นซี่ๆ  เรียงกันเป็นแผง  แต่ละซี่จะมีขนาดเล็กมากประกอบด้วยเซลล์ที่เรียงตัวเป็นชั้นบางๆ  ห่อหุ้มเลือกฝอยทำให้แก๊สสามารถแพร่ผ่านเข้าไปได้ง่าย
               ถ้านักเรียนสังเกตปลาที่กำลังว่ายน้ำหรือลอยตัวอยู่นิ่งๆ  จะพบว่าแผ่นกระดูกปิดเหงือกหรือแผ่นแก้มของปลาจะเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา  โดยการเคลื่อนไหวจะเป็นจังหวะพอดีกับการอ้าปากและหุบปากของปลาด้วย  การทำงานที่สัมพันธ์กันเช่นนี้ทำให้น้ำ  ซึ่งมีแก๊สออกซิเจนละลายอยู่เข้าทางปากแล้วผ่านออกทางเหงือกตลอดเวลา   และแก๊สออกซิเจนจะแพร่ผ่านเข้าสู่หลอดเลือดฝอยที่เหงือก  แล้วหมุนเวียนไปตามระบบหมุนเวียนเลือดต่อไป  ดังภาพที่ 6-6
ภาพที่ 6-6 ลักษณะของเหงือกปลา
ภาพที่ 6-7โครงสร้างที่ใช้แลกเปลี่ยนแก๊สของนก
                 จากภาพที่ 6-7  นักเรียนจะเห็นว่าปอดของนกมีท่อเชื่อต่อกับถุงลมซึ่งมีถึง  9  ถุง ลักษณะเช่นนี้มีประโยชน์ต่อการดำรงชีวิตของนกอย่างไร  นกมีปอดที่เจริญดีทำให้สามารถแลกเปลี่ยนแก๊สได้ดีและนำแก๊สออกซิเจนที่ได้ไปใช้ในการสลายสารอาหารเพื่อให้ได้พลังงานสำหรับใช้ในกิจกรรมต่างๆ เช่น  ใช้ในการบินซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต้องใช้พลังงานมาก  การที่นกมีถุงลมเชื่อมต่อกับปอดนั้นก็เพื่อสำรองอากาศไว้ใช้ขณะบิน  โดยอากาศที่หายใจเข้าแต่ละครั้งจะผ่านถุงลมส่วนหน้าก่อนเข้าสู่ปอดและถุงลมส่วนหลัง  ดังนั้นในแต่ละรอบของการหายใจ  นกจะต้องมีการหายใจเข้าและออก  2  ครั้ง
             สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม  มีปอดเป็นโครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สอยู่ภายในร่างกาย 
         6.1.2 โครงสร้างที่ใช้ในการแลกเปลี่ยนแก๊สของคน
                      อากาศเข้าสู่ปอดโดยเริ่มเข้าที่ช่องจมูก  แล้วเข้าสู่บริเวณโพรงจมูกซึ่งมีเยื่อบุผิวที่มีซิเลียและเมือกสำหรับดักจับสิ่งสกปรกไว้  อากาศจะเคลื่อนที่ต่อไปยังคอหอยลงสู่กล่องเสียง  ซึ่งภายในมี  สายเสียง (vocal cord)  จากนั้นอากาศจึงเข้าสู่หลอดลม  ปลายสุดของหลอดลมแยกออกเป็นขั้วปอดแยกไปสู่ปอดซ้ายและขวาทั้ง  2  ข้างซึ่งจะแตกแขนงเล็กลงเรื่อยๆ  เรียกว่า  หลอดลมฝอย (bronchiole)   ผนังของหลอดลมฝอยจะบางลงตามลำดับ   ปลายสุดของหลอดสมฝอยเป็นถุงขนาดเล็ก   และหลอดลมฝอยส่วนต้นประกอบด้วยกระดูกอ่อน   เพื่อป้องกันการแฟบจากแรงกดของเนื้อเยื่อบริเวณรอบๆ   ดังภาพที่6-8
ภาพที่ 6-8  ก.  ส่วนต่างๆของทางเดินหายใจ ,  ข.ถุงลม
              ผนังด้านในของหลอดลมบุด้วยเซลล์บุผิวที่มีซิเลียและเซลล์ซึ่งทำหน้าที่สร้างเมือกเพื่อคอยดักจับสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปถึงถุงลม   เมื่ออากาศเข้าสู่ถุงลมซึ่งมีหลอดเลือดฝอยห่อหุ้มอยู่โดยรอบบริเวณนี้จะมีการแลกเปลี่ยนแก๊สเกิดขึ้นเป็นตำแหน่งแรก  โดยแก๊สออกซิเจนจากถุงลมจะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดฝอย  และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากหลอดเลือดฝอยจะแพร่เข้าสู่ถุงลม   
การสูดลมหายใจ
              เพื่อรักษาดุลยภาพของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์และแก๊สออกซิเจนในร่างกายคน  จึงมีการสูดลมหายใจเข้าและลมหายใจออกตลอดเวลา  แสดงว่าความดันของอากาศภายในปอดมีการเปลี่ยนแปลง  ในการหายใจเข้าและการหายใจออกเกิดจากการเปลี่ยนแปลงความดันของอากาศภายในปอด  โดยการทำงานร่วมกันของกล้ามเนื้อกะบังลม  และกล้ามเนื้อที่ยึดกระดูกซี่โครงแถบนอก  ดังภาพที่ 6-9 ขณะที่กล้ามเนื้อหน้าท้องคลายตัว  ทำให้อากาศภายในช่องท้องลดความดันลงพร้อมๆ  กับกล้ามเนื้อหะบังลมหดตัว  กะบังลมจะเคลื่อนต่ำลง  ขณะที่กล้ามเนื้อของกระดูกซี่โครงแถบนอกหดตัว  กระดูกซี่โครงยกสูงขึ้น   ปริมาตรในช่องออกเพิ่มขึ้น  ปอดที่มีเนื้อเยื่อยืดหยุ่นได้ก็จะขยายมากขึ้น  ความดันของอากาศภายในปอดลดลง  อากาศภายนอกจะไหลเข้าสู่ปอด  ทำให้เกิดการหายใจเข้า   ดังภาพที่ 6-9 ก.  และเมื่อกล้ามเนื้อหน้าท้องหดตัว  ทำให้อากาศภายในช่องท้องมีความดันมากขึ้นพร้อมๆ  กับกล้ามเนื้อกะบังลมคลายตัว  กะบังลมโค้งขึ้น  หรือเคลื่อนที่ขึ้นด้านบนมากขึ้น  ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อแถบนอกของกระดูกซี่โครงคลายตัว  ทำให้กระดูกซี่โครงลดต่ำลง  ปริมาตรของอากาศภายในช่องอกลดลง  ส่งผลให้ปริมาตรของอากาศในปอดลดลง  ความดันอากาศในปอดจะมีมากกว่าความดันอากาศภายนอก  อากาศจะเคลื่อนจากปอดสู่ภายนอก  ทำให้เกิดการหายใจออก  ดังภาพที่ 6-9 ข.
ภาพที่ 6-9  การเปลี่ยนแปลงปริมาตรของทรวงอกขณะหายใจเข้าและหายใจออก
ก.  หายใจเข้า  , ข .หายใจออก
การแลกเปลี่ยนแก๊ส
              การแลกเปลี่ยนแก๊สในร่างกายของคนเกิดขึ้น แห่ง  คือที่ปอดและที่เซลล์ของเนื้อเยื่อต่างๆ  ที่ปอดเป็นการแลกเปลี่ยนแก๊สระหว่างถุงลมกับหลอดเลือดฝอย  โดยแก๊สออกซิเจนจากถุงลมจะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดฝอยรอบๆถุงลม  และจับกับฮีโมโกลบิน  (hemoglobin :  Hb)  ในเซลล์เม็ดเลือดแดงกลายเป็นออกซีฮีโมโกลบิน  (oxyhemoglobin  
)  ซึ่งมีสีแดงสด  เลือดที่มีออกซีฮีโมโกลบินนี้จะถูกส่งเข้าสู่หัวใจและสูบฉีดไปยังเนื้อเยื่อส่วนต่างๆทั่วร่างกาย   ที่เนื้อเยื่อออกซีฮีโมโกลบินจะเปลี่ยนเป็นออกซิเจน  และฮีโมโกลบิน  แก๊สออกซิเจนจะแพร่เข้าสู่เซลล์ทำให้เซลล์ของเนื้อเยื่อได้รับแก๊สออกซิเจน  ดังสมการ
              ขณะที่เซลล์ของเนื้อเยื่อรับแก๊สออกซิเจนนั้น  แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์  ที่เกิดขึ้นในเซลล์จะแพร่เข้าสู่หลอดเลือดฝอย  แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ส่วนใหญ่จะทำปฏิกิริยากับน้ำในเซลล์เม็ดเลือดแดง  เกิดเป็นกรดคาร์บอนิก  ซึ่งจะแตกตัวได้ไฮโดรเจนไอออนและไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน  ซึ่งจะถูกลำเลียงออกสู่พลาสมาโดยวิธีการแพร่
ภาพที่ 6-11 การแลกเปลี่ยนแก๊สกับการลำเลียงแก๊ส
              เมื่อเลือดที่มีไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออน  และไฮโดรเจนไอออนมากไหลเข้าสู่หัวใจ  เลือดจะถูกสูบฉีดต่อไปยังหลอดเลือดฝอยรอบถุงลม  ไฮโดรเจนคาร์บอเนตไอออนและไฮโดรเจนไอออนจะรวมตัวกันเป็นกรดคาร์บอนิกแล้วจึงสลายตัวเป็นคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำในเซลล์เม็ดเลือดแดง  เป็นผลให้ความหนาแน่นของคาร์บอนไดออกไซด์ในหลอดเลือดฝอยสูงกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ในถุงลม  จึงเกิดการแพร่ของคาร์บอนไดออกไซด์จากหลอดเลือดฝอยเข้าสู่ถุงลม  ดังสมการ
                  ไฮโดรเจนไอออนนี้ถ้ามีมากจะทำให้น้ำเลือดหรือพลาสมามีค่า pH  ต่ำ  คือมีความเป็นกรดสูง  นักเรียนทราบมาแล้วว่าโดยปกติเซลล์ในร่างกายจะทำงานได้ก็ต่อเมื่อ  มีค่า  pH  ใกล้กับ  7  หรือมีสภาวะค่อนข้างเป็นกลาง  เซลล์จึงพยายามรักษาสภาพความเป็นกรด - เบส ภายในเซลล์ให้คงที่  ถ้าแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ในเลือดไม่สามารถลำเลียงไปสู่ปอดได้เพียงพอ  ปริมาณไฮโดรเจนในหลอดเลือดจะสูงขึ้นจะทำให้ค่า pH  ต่ำมาก  คือมีความเป็นกรดสูงขึ้นทำให้มีอันตรายต่อเซลล์ได้  แต่โดยทั่วไป  ไฮโดรเจนไอออนสามารถจะไปรวมกับสารอินทรีย์อื่นๆ  ในร่างกายได้อีกหลายชนิด  เป็นการควบคุมดุลยภาพของร่างกายอย่างหนึ่ง  คาร์บอนมอนอกไซด์ออกมาง่ายๆ  นักเรียนคิดว่าจะเกิดผลอย่างไรถ้าร่างกายได้รับคาร์บอนมานอกไซด์เป็นปริมาณมาก มีผู้ศึกษาความหนาแน่นของแก๊สออกซิเจนและแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศและในส่วนต่างๆของร่างกาย  พบว่าเป็นดังภาพที่ 6-12
ภาพที่ 6-12  แผนภาพแสดงความหนาแน่นของแก๊สในบรรยากาศและในส่วนต่างๆของร่างกาย
           ก.  ความหนาแน่นของออกซิเจน      , ข .  ความหนาแน่นของคาร์บอนไดออกไซด์
 การควบคุมการหายใจ
              นักเรียนสามารถบังคับการหายใจของตนเองได้หรือไม่  บางครั้งนักเรียนอาจจะบังคับลมหายใจโดยการกลั้นหายใจ  หรือหายใจยางและลึกได้  แต่จะสามารถควบคุมได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น  การหายใจจะสัมพันธ์กับการรักษาสภาวะสมดุลของร่างกาย  กลไกควบคุมการหายใจจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาทโดยมีการควบคุม ส่วนคือ
             
 1.  การควบคุมแบบอัตโนวัติ  ซึ่งเป็นการหายใจที่ไม่สามารถบังคับได้  โดยสมองส่วนพอนส์และเมดัลลาเป็นตัวสร้างและส่งสัญญาณประสาทไปกระตุ้นกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ  ทำให้การหายใจเข้า-ออก  เกิดขึ้นได้อย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอทั้งในยามหลับและยามตื่น  โดยไม่จำเป็นต้องพะวงกับการสั่งการให้มีการหายใจ
              2.  การควบคุมภายใต้อำนาจจิตใจ  ซึ่งเป็นการหายใจที่สามารถบังคับได้  โดยสมองส่วนหน้าส่วนที่เรียกว่า  ซีรีบรัลคอร์เทกซ์ไฮโพทาลามัส  แลพสมองส่วนหลังส่วนที่เรียกว่า  ซีรีเบลลัม  ซึ่งจะทำให้เราสามารถควบคุม  บังคับ  หรือปรับการหายใจให้เหมาะสมกับพฤติกรรมต่างๆของร่างกาย  เช่น การพูด  การร้องเพลง  การเล่นเครื่องดนตรีประเภทเป่า  การว่ายน้ำ  การดำน้ำ  หรือการกลั้นหายใจได้ 

ภาพที่ 6-13  ศูนย์ควบคุมการหายใจ
ความผิดเปกติที่เกี่ยวข้องกับปอด
             โรคที่เกิดขึ้นในระบบทางเดินหายใจ  เช่น  โรคปอดบวม  (pneumonia)  ซึ่งเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย  หรือไวรัสเข้าไปในหลอดลมและเข้าสู่เนื้อเยื่อปอด  ทำให้เกิดการอักเสบ  ยังผลให้พื้นที่ผิวในการแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง  อีกโรคหนึ่งคือ  โรคถุงลมโป่งพอง  (emphysema)  ซึ่งเกิดจาก  การสูดอากาศที่เป็นพิษ  เช่น  ควันบุหรี่  ควันจากโรงงาน   ควันจากท่อไอเสียรถยนต์  เป็นเวลานานๆ  หรือบางรายอาจเกิดจากการติดเชื้อ  ผู้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองจะมีความผิดปกติที่ถุงลม  คือสารหล่อลื่นความยืดหยุ่นของผนังถุงลม  และหลอดลมฝอยถูกทำลายทำให้ความสามารถในการนำเอาอากาศเข้าปอด  และแลกเปลี่ยนแก๊สลดลงและในบางโอกาสผนังของถุงลม  อาจจะถูกทำลายทำให้ถุงลมทะลุถึงกันเกิดเป็นถุงขนาดโตขึ้น  ทำให้มีพื้นที่ผิวสำหรับแลกเปลี่ยนแก๊สลดลง  ผู้ป่วยจึงต้องเพิ่มการสูดลมหายใจ  ทำให้เกิดการเหนื่อยหอบหายใจไม่เต็มปอด  แก๊สออกซิเจนไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ  ลดลง  หัวใจทำงานหนักขึ้นจนอาจมีอาการหัวใจวายได้
               นอกจากนี้ยังมีโรคภูมิแพ้ซึ่งเกิดจากการได้รับสิ่งกระตุ้น  เช่นเกสรดอกไม้  ฝุ่น  ควันบุหรี่  อากาศที่เปลี่ยนแปลง  สารเคมี  สิ่งเหล่านี้ทำให้ร่างกายมีการตอบสนองมีผลทำให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อหลอดลม  เป็นเหตุให้หลอดลมตีบกว่าปกติจนผู้ป่วยเกิดอาหารหอบหืดหายใจไม่สะดวก  หรือหายใจไม่ทันและอาจเสียชีวิตได้ในที่สุด

ภาพที่ 6-14  ปอดของคน
ก.  ปอดของคนปกติ   ข.  ปอดของคนที่สูบบุหรี่
การวัดอัตราการหายใจ

                 การหายใจเข้าและหายใจออกของคนเกี่ยวข้องกับ  เมแทบอลิซึมของร่างกาย  ซึ่งเป็นผลมาจากเมแทบอลิซึมของเซลล์ถ้าร่างกายมีอัตราการหายใจสูงแสดงว่าเซลล์ต่างๆ  ของร่างกายใช้พลังงานมาก  นั่นหมายถึงร่างกายมีอัตราเมแทบอลิซึมสูง  แต่การวัดอัตราเมแทบอลิซึมโดยตรงนั้นทำได้ยากจึงเปลี่ยนเป็นการวัดอัตราการใช้ออกซิเจนแทน  โดยถือว่าเซลล์หรือร่างกายที่มีอัตราเมแทบอลิซึมสูงจะมีอัตราการนำออกซิเจนเข้าสูงด้วย  

Unknown

Phasellus facilisis convallis metus, ut imperdiet augue auctor nec. Duis at velit id augue lobortis porta. Sed varius, enim accumsan aliquam tincidunt, tortor urna vulputate quam, eget finibus urna est in augue.